HID ตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน บัตรเข้า-ออกอาคารโฉมใหม่มีอายุการใช้งานนาน ปราศจากพลาสติกพีวีซี และผ่านการรับรองมาตรฐาน FSC(R) (Forestry Stewardship Council(R)) HID ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นการระบุตัวตน เปิดตัวบัตรเข้า-ออกอาคารรุ่น Seos(R) Bamboo(TM) ผลิตจากไม้ไผ่ซึ่งมีแหล่งที่มาและผ่านกระบวนการที่ยั่งยืน ปราศจากพลาสติกพีวีซี บัตรดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโซลูชั่นเพื่อความปลอดภัย Seos(R) ที่ได้รับรางวัลของ HID และเป็นบัตรรุ่นแรกในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Eco Cards(TM) ไม้ไผ่ที่นำมาใช้ ผ่านการรับรองมาตรฐาน FSC(R) จากองค์กร Forestry Stewardship Council(R) (FSC(R)) ซึ่งเป็นการรับประกันว่า มีแหล่งที่มาจากป่าไม้ที่บริหารจัดการอย่างมีความรับผิดชอบ และเกิดประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ รายงานทางการตลาดล่าสุด รวมถึงรายงานของอุตสาหกรรมด้านความปลอดภัยและการยืนยันตัวตนของ HID ระบุว่า องค์กรส่วนใหญ่ให้ความสำคัญเรื่องสภาพภูมิอากาศและความยั่งยืนเป็นอันดับต้นๆ จึงได้หันไปใช้วัสดุหมุนเวียนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกเหนือจากการลดการใช้พลังงานและการลดการเกิดของเสีย การเปิดตัวบัตรเข้า-ออกอาคารที่มีความปลอดภัยสูงซึ่งผลิตจากไม้ไผ่ของ HID ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นพัฒนาด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยไม่กระทบต่อความปลอดภัยและประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า ไม้ไผ่เป็นทรัพยากรหมุนเวียนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ใช้น้ำและยาฆ่าแมลงน้อยกว่าวัสดุที่ใช้ทำบัตรแบบเดิมๆ Martin Huddart รองประธานอาวุโสและกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจ Physical […]

“ก่อนหน้านี้ในวันนี้ เกิดปัญหาทางเทคนิคที่ทำให้บางท่านประสบปัญหาในการเข้าใช้อินสตาแกรม ทางเราได้แก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุดสำหรับทุกท่านที่ได้รับผลกระทบ” โฆษกของเมตาเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ เมตาไม่ได้เปิดเผยจำนวนผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอินสตาแกรมล่ม อย่างไรก็ดี เว็บไซต์ Downdetector.com ระบุว่ามีรายงานว่าเข้าใช้อินสตาแกรมไม่ได้มากกว่า 100,000 กรณีในสหรัฐ, 24,000 กรณีในแคนาดา และมากกว่า 56,000 กรณีในอังกฤษ Downdetector.com ระบุว่า ในช่วงพีคของการล่มครั้งนี้ มีผู้ใช้มากกว่า 180,000 รายรายงานปัญหาการเข้าใช้งานอินสตาแกรม โดยอินสตาแกรมเริ่มมีปัญหาตั้งแต่เวลา 04.45 น. ของวันนี้ตามเวลาประเทศไทย ต่อมาจำนวนรายงานปัญหาลดลงเหลือเพียง 7,000 กรณีเมื่อเวลา 07.30 น. Source: https://www.ryt9.com/s/iq36/3423485

เจ้าพ่อเอไอออกโรงเตือน นายเจฟฟรีย์ ฮินตัน ผู้ที่สร้างรากฐานเทคโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI) จนได้รับการขนานนามว่าเป็น เจ้าพ่อเอไอ ตัดสินใจลาออกจาก Google พร้อมทั้งให้สัมภาษณ์แก่สื่อว่า รู้สึกเสียใจกับงานที่ตัวเองทำมาทั้งชีวิต กับการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และเตือนว่า เอไออาจเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ โดยหากเปรียบเทียบกับเมื่อ 5 ปีที่แล้ว กับปัจจุบันนี้ จะเห็นการพัฒนาเอไออย่างรวดเร็วจนน่ากลัวฮินตัน ยังระบุด้วยว่า การแข่งขันของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ยิ่งกดดันทำให้แต่ละบริษัทต้องเร่งปล่อยเทคโนโลยีเอไอใหม่ๆ ออกมา ด้วยการพัฒนาที่รวดเร็วเกินไป จนเกิดความเสี่ยงต่อตำแหน่งงาน รวมทั้งการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือบิดเบือน ทำให้ยากต่อการที่จะป้องกันคนไม่ดีนำมันไปใช้ในทางที่ไม่ดี โดย ฮินตัน ได้แจ้งการลาออกของเขาให้กูเกิลรับทราบเมื่อเดือนที่ผ่านมา ท่ามกลางสงครามของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่ต่างเร่งพัฒนาเอไอ มื่อปี 2022 กูเกิลและโอเพนเอไอ สตาร์ท อัพ ที่อยู่เบื้องหลัง เอไอแชตบอต ChatGPT ได้เริ่มต้นสร้างระบบที่ใช้ข้อมูลจำนวนมหาศาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ฮินตัน บอกกับ ไทมส์ ว่า เขาเชื่อว่าระบบเหล่านี้จะเข้ามาบดบังสติปัญญาของมนุษย์ด้วยวิธีการบางอย่าง เนื่องจากข้อมูลจำนวนมากที่เอไอได้มา และไม่แน่ว่าระบบที่วางไว้นั้น อาจจะมีประสิทธิภาพดีกว่าสมองของมนุษย์เรามากๆ  และถึงแม้ว่าเอไอจะถูกนำมาใช้สนับสนุนการทำงานของมนุษย์ แต่การแผ่ขยายของแชตบอตอย่าง ChatGPT ก็อาจจะสร้างความเสี่ยงต่อตำแหน่งงานของมนุษย์ได้ แน่นอนว่ามันจะช่วยลดงานที่น่าเบื่อจำเจออกไป […]

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจากเอกสารภายในว่า กูเกิลซึ่งเป็นบริษัทในเครืออัลฟาเบทจากสหรัฐ กำลังจะใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) รุ่นใหม่ในโลกโฆษณา หลังจากพยายามเร่งใช้ AI รุ่นใหม่ในผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท ทั้งนี้ รายงานระบุว่า กูเกิลไฟเขียวแผนการใช้ Generative AI ซึ่งขับเคลื่อนโดยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model : LLM) เพื่อให้บริการโฆษณาแบบอัตโนมัติและบริการผู้บริโภคที่ได้รับชมโฆษณาจากผู้สนับสนุน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา กูเกิลได้เปิดตัว “PaLM 2” ซึ่งเป็น LLM รุ่นล่าสุดและทรงพลังที่สุด โดยเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการฝึกฝนผ่านการเรียนรู้ข้อมูลที่เป็นข้อความจนทำให้สามารถตอบคำถามได้เหมือนมนุษย์ โดยขณะนี้หลายกลุ่มในกูเกิลกำลังวางแผนที่จะใช้เครื่องมือที่ขับเคลื่อนโดย “PaLM 2” เพื่อเปิดทางให้นักโฆษณาสามารถผลิตสินทรัพย์สื่อของตนเองได้และเพื่อแนะนำการทำวิดีโอให้กับครีเอเตอร์บนยูทูบ ขณะเดียวกัน กูเกิลยังได้ทดสอบ “PaLM 2” สำหรับคอนเทนต์บนยูทูบที่มุ่งเป้าไปที่ผู้ชมอายุน้อย เช่น การคิดชื่อเรื่องและคำอธิบายนอกจากนี้ สำหรับเหล่าครีเอเตอร์นั้น กูเกิลได้ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อนำเสนอแนวคิดการทำวิดีโอ 5 ไอเดียตามหัวข้อที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน Source: https://www.ryt9.com/s/iq36/3422830